...

October 24, 2008

เคยมองฟ้าเวลาทุกข์ไหม
















ลืมความยุ่งยาก ลืมความสับสน
ลืมความทุกข์ทนวุ่นวายในยามกลางวัน
ลืมความเบื่อหน่าย ลืมว่าต้องออกไปไหน
ลืมว่าต้องทำอะไร ....
ลืมนู่นลืมนี่
กำจัดข้อมูลในสมองให้โล่ง
เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเติมเต็มความสุขลงไป ...
....
....

เงยหน้ามองปุยเมฆที่ล่องลอยไปมา
สีขาวตัดสีฟ้า
....
....
อย่ากลัวว่าเราจะมองเมฆกันคนละก้อน
ลมจะช่วยพัดพาเมฆบนฝั่งฟ้าของเธอมาทางฉัน
และบนฝั่งฟ้าของฉันไปหาเธอ
มองคำทักทายของฉันบนฟ้านั่นสิ
รู้สึกได้มั้ย สัมผัสได้หรือเปล่า

....
....

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชอบมองท้องฟ้า
ฝนจะตก แดดจะออก ไม่เคยรู้สึกเหงา
แลกเปลี่ยนทุกข์ และสุข
เพียงแค่แหงนหน้ามองท้องฟ้าคราม
ปลดปล่อยความสุขออกมา
เต็มท้องฟ้า...



Labels:

January 03, 2008

๒๕๕๐


ย่างผ่านศักราชเก่าไปอีกหนึ่งช่วงปี ถึงเวลาที่จะต้องทบทวนสรุปเหตุการณ์ที่ผ่านมาและผ่านไป เพื่อเป็นการเตือนใจตัวเองว่าได้ประสบพบพานอะไรมาบ้าง ทำอะไรสำเร็จหรือไม่สำเร็จไปบ้าง เผื่อว่าจะมีกำลังใจในการพิทักษ์โลกในปีถัดไป ถัดไป

เริ่มจาก ‘เช็คลิสต์’ เป้าหมายในช่วงปี ๒๕๕๐ ที่ได้ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่แล้ว
-๑-
ทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ
เมื่อต้นปีเริ่มทำงานในสายงาน “เวดดิ้ง เพลนเนอร์” โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะคอยตรวจสอบตัวเองว่าเราจะรักและยังทำงานนั้นไปจนถึงสิ้นปีหรือไม่ ผลจากการตรวจสอบพบว่า เรายังต้องค้นหาตัวเองต่อไปและต่อไป เพราะแม้สายงานเวดดิ้งจะเป็นงานที่เหนื่อย สนุก และเพลิดเพลิน แต่ก็เป็นงานที่กลวงระดับโลกและไร้ซึ่งสาระสำคัญเช่นเดียวกัน นั่นทำให้เราตัดสินใจเปลี่ยนสายงานเป็นอีเว้น ออแกไนเซอร์ ออแกไนซ์โง่แทน อย่างไรก็ตามการทำงานในสายเวดดิ้งกว่าครึ่งปีก็ทำให้มีความรู้ล้นทะลักในทุกด้านของงานแต่ง ใครต้องการปรึกษาเราก็ยินดี

-๒-
บ้านเจ้าคุณพ่อ
ความตั้งใจเมื่อต้นปีคือต้องกลับไปเยี่ยมพ่อที่ชุมพรให้ได้ หลังจากที่เกิดเหตุทะเลาะกันตั้งแต่วันรับปริญญาปีกระโน้นทำให้ไม่ได้ติดต่อสื่อสารใดใดกันเลย ความตั้งใจในข้อนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ถึงแม้ว่าจะเป็นการไปชุมพรครั้งเดียวในรอบปีก็ตาม

-๓-
ยอมอดเพื่ออ่าน
ข้อนี้ตั้งเป้าไว้ว่าไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไรก็จะซื้อหนังสืออ่านเดือนละหนึ่งเล่มเป็นอย่างน้อย ผลคือเหตุที่ทำให้เรายากจนก็เพราะการซื้อหนังสือนี่แหละ ซื้อเข้าไปได้เดือนละสิบ ยี่สิบเล่ม ดีไม่ดีบางเดือนแทบจะซื้อวันเว้นวัน หลังๆเลยต้องเพลาๆลง เป็นอาทิตย์ละเล่ม ก่อนที่จะต้องยากจนจริงๆ

-๔-
โซฟา : เพราะว่าเราห่างไกลกันเหลือเกิน
ข้อนี้ถือได้ว่าไม่สำเร็จ อยากได้โซฟาตัวใหม่มาไว้ในห้องนอนที่บ้านสัตหีบ ผลคือ ได้โซฟา สีที่ต้องการด้วย แต่สถานที่ตั้งกลายเป็นห้องนั่งเล่น ทั้งๆที่ในห้องนั่งเล่นก็มีโซฟาอยู่แล้ว เอาเถ๊ออออ...ข้อนี้ถือว่าแห้วไป

-๕-
โสด แอนด์ เดอะ ซิตี้
นโยบาย คือ ครองความโสดต่อไป สุขนิยมแบบอิสระเท่านั้นที่เราต้องการ ข้อนี้สำเร็จผ่านฉลุยได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ถึงแม้ช่วงกลางปีจะเป็นช่วงที่วุ่นวาย เนื่องจากมีคนเข้ามาสั่นคลอนนโยบายพร้อมกันจนน่าเวียนหัว เดชะบุญที่มีเพื่อนเกย์รูปงามไว้คุ้มกะลาหัวทำให้พอรอดตัวมาจากวิกฤตได้ อย่างไรก็ดีปีนี้เป็นปีที่ต้องบันทึกไว้ว่ามีชายหนุ่มมาเยี่ยมเยียนมากกว่าหญิงสาว(ฮา) เห็นควรจัดลำดับความเป็นที่สุดของชายหนุ่มหลงทางเหล่านี้ไว้พอสังเขป

แก่ที่สุด : ตาลุงพุงพลุ้ยที่เจอกลางทะเลเมื่อต้นปี
เด็กที่สุด : คุณน้องลูกครึ่งหล่อล่ำช่วงคริสต์มาส
ชวนผวาที่สุด : ช่างภาพเพื่อนของคนข้างห้อง ซอยทองหล่อ ที่ชอบมาร้องเพลงให้ฟังตรงหน้าต่าง และส่งโน้ตกลอนประหลาดๆ ให้
เงียบที่สุด : หนุ่มแว่น ร้านนายอินทร์ ทองหล่อ
จริงจังที่สุด : ทิง ช่างภาพชาวจีน แสนซื่อ

-๖-
ร่างกายฟิต พิชิตโรคภัย
ปีนี้เข้าโรงพยาบาลแค่ครั้งเดียว และเป็นการไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คสุขภาพปอดเท่านั้น ไม่ได้เจ็บป่วยแต่อย่างใด ผลคือ สภาพปอดปรกติไม่ได้เป็นวัณโรคอย่างที่หลายคนแช่ง(ฮา) แต่ถึงแม้หมอจะไม่พบโรค เราก็พบก็เราเอง นั่นคือ ภูมิแพ้ ในที่สุดเราก็พบสาเหตุการไอไม่หยุดของตัวเอง หากเราพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น ไม่ถ่ายเท และมีฝุ่น! เราจะไออย่างบ้าคลั่ง ทางแก้คือ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (ซึ่งกำลังพยายามอยู่แต่ไม่ค่อยได้ผล), อีกอย่างที่ควรค่าแก่การบันทึกสำหรับปีนี้คือ สถิติน้ำหนักอันน่าภาคภูมิใจ สำหรับ 47.5 กิโล ในช่วงที่เดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือ แต่ก็นั่นแหละความสุขมักอยู่ไม่นาน ตอนนี้นำหนักกลับมาเหลือ 45.5 ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าคงไม่ลดไปมากกว่านี้แล้ว อ้อ ปีนี้ปฏิการกินข้าวอย่างน้อยวันละสองมื้อสำเร็จลุล่วงได้ดี ไชโย!

-๗-
ใบขับขี่ ขอมีหน่อยเหอะ
ข้อนี้เป็นข้อที่สร้างความเจ็บใจที่สุด เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปทำใบขับขี่ซักที เจ็บใจๆ

-๘-
ตีรันฟันคุด
ผลัดผ่อนไม่ยอมผ่าฟันคุดมานานเกินสองปี เมื่อต้นปีเลยตั้งเป้าเผาให้เหี้ยนปาก ผลปรากฏว่าสำหรับข้อนี้ทำสำเร็จไปครึ่งเดียว ยังเหลืออีกหนึ่งซี่ให้จัดการ เลยสรุปว่าภารกิจนี้ไม่สำเร็จ

-๙-
คืนกำไรสู่สังคม
ตามสโลแกนสำคัญ ‘จงทำความดี อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง’ ให้ทานวณิพก คนยากจนเข็ญใจ และช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมบ้าง นับเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากนัก ภารกิจนี้ถูกผนวกเข้าไปในบัญชีรายจ่ายและหมายเหตุประจำเดือน แม้จะเป็นการกระทำและจำนวนเงินไม่มากนักแต่ถ้าเราทำอย่างสม่ำเสมอก็ถือได้ว่าเป็นการคืนกำไรสู่สังคมได้บ้าง แม้จะไม่โดดเด่นแต่ภารกิจนี้ก็สำเร็จลุล่วงตามคาดหมาย

สรุปยอดรวม ๙ ภารกิจ
ทำได้ ๔ ภารกิจ ๔๔.๔๔%
ทำไม่ได้ ๕ ภารกิจ ๕๕.๕๖%
ถ้าวัดตามยอดนี้ก็ถือว่าสอบตก

แต่เพื่อเป็นการเข้าข้างตัวเอง เราจึงนับเอาสิ่งที่ทำสำเร็จครึ่งหนึ่งให้อยู่ในยอดรายการที่ทำได้ ก็จะได้ผลดังนี้
สรุปยอดรวม ๙ ภารกิจ
ทำได้ ๗ ภารกิจ ๗๗.๗๘%
ทำไม่ได้ ๒ ภารกิจ ๒๒.๒๒%
และด้วยผลแห่งการโกง จึงทำให้เราสอบผ่าน มีกำลังใจในการพิทักษ์โลกในปีถัดไป (ฮา)


เอาล่ะ ไหนๆ เอนทรี่นี้ก็ยาวหลุดโลกแล้ว ขอแถมสิ่งที่ควรบันทึกไว้อีกเล็กน้อย(?)สำหรับปี ๒๕๕๐ ดังนี้
- ทีม ‘เป็นต่อ’ ออแกไนเซอร์ ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม โดยมีสมาชิกนอกจากเรา คือ ปอนด์, น้องพลอย,น้องเก๋ (ออกแบบโลโก้ทีม โดย หลวงประดิษฐ์พิสดาร)
- ปลายเดือนพฤศจิกายน เราต้องหันมาใส่แว่น เนื่องจากสายตาเพิ่มขึ้นกว่าสามร้อย ทำให้ต้องทิ้งคอนแทคเลนซ์คู่เก่าไป
- ปางอุ๋ง คือสถานที่ท่องเที่ยว กางเต้นท์ที่น่าประทับใจที่สุดตั้งแต่เกางเต้นท์เป็นสมัยประถม
- ที่ใดที่ 7-11 เข้าถึง ที่นั่นย่อมไม่เป็นธรรมชาติ
- การใจดีให้ผู้อื่นยืมเงินโดยไม่คิดอะไร ทำให้สูญเงินไปแล้วกว่าครึ่งแสน เพราะฉะนั้นคราวหน้าจงอย่าให้ใครยืมเงินอีก!
- จงเลือกอ่านเฉพาะหนังสือที่จรรโลงใจ ดูเฉพาะหนังที่สร้างสรรค์ และไปเฉพาะที่ที่ควรไปเท่านั้น บางครั้งคนเรารับข้อมูลมากไปก็ไม่ดี เราควร in put เฉพาะสิ่งที่เราเห็นว่าจรรโลงโลกเท่านั้น
- จงใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการเท่านั้น
- รายการที่สร้างเสียงหัวเราะได้มากที่สุดในรอบปีคือ Love letter และ X-man ทั้งสองรายการสังกัดประเทศเกาหลี
- การเดินทางถ่ายภาพช่วงคริสต์มาสที่ต่อเนื่องมาหลายปีสิ้นสุดลงที่ปีนี้
- การเริ่มต้นจัดคริสต์มาสปาร์ตี้ที่ห้องได้เริ่มต้นขึ้นที่ O.P. Mansion
- เพื่อนที่สนิทที่สุดในรอบปีนี้คือ เจ้านัท
- กลุ่มคนรักการท่องเที่ยวได้ก่อตัวขึ้นในต้นเดือนกันยายน , สถานที่แรกที่ไปคือ อัมพวา , สมาชิกนอกจากเราคือ พี่ภาค และพี่กิม
- ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนกับพี่กิม?! เจ้านัท?! และเจ้ากุ้ง?! เอาเข้าไป!!!
- อนิเมถูกใจในรอบปี คือ Nodame
- คนโปรดแห่งปีคือ น้องนาย
- ฯลฯ

Labels:

December 25, 2007

Merry X Mas



November 20, 2007

เดินทาง รายการตลก และชีวิตที่ยืนนาน


พักนี้ไม่ค่อยได้บันทึกเรื่องราว ชีวิตดำเนินไปเนิบๆตามครรลองที่ควรจะเป็น
ตื่นและหลับตามเข็มของนาฬิกา จะเกินเลยไปบ้างก็ไม่เกินสิบยี่สิบนาที
เวลานอนก็ได้นอน เวลางานก็ได้งาน เวลาเล่นก็ได้เล่น เวลากินก็ได้กิน
มีความสุขพอประมาณ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไปนัก เรื่องเรียน เรื่องงาน และเรื่องเดินทางท่องเที่ยวสมดุลกันดีจนน่าแปลกใจ

อาทิตย์หน้าลางานได้สามวัน จันทร์-อังคาร-พุธ, ๒๖-๒๗-๒๘ เมื่อนับรวมเสาร์อาทิตย์ก่อนหน้าก็จะกลายเป็นห้าวันติดกัน เยอะจนน่าตกใจที่เจ้านายอนุญาตทั้งๆที่เป็นช่วงเทศกาลงานชุก


เหตุที่เจ้านายอนุญาตก็ไม่รู้เป็นเพราะเราอาจหาญแจ้งไปว่าถ้าไม่ให้ลาจะหนีไปหรือเปล่า อันนั้นจนด้วยเกล้าที่จะคิด แต่เจ้านายก็ตกลงว่าให้ไปแล้วล่ะนะ เรื่องเหตุผลก็ช่างมัน

แม่โทรมาบอกว่าตั้งโปรแกรมไว้ยาวเหยียดให้สมกับเป็นทริปปลายปี เริ่มตั้งแต่คืนวันลอยกระทง เสาร์ที่ยี่สิบสี่ ตั้งใจไว้ว่าจะไปดูกระทงสายที่ตาก ค้างซักหนึ่งคืน แล้วค่อยไปต่อที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ดูทะเลหมอก ตามด้วยสัมผัสชีวิตอันเรียบง่ายที่ปาย และปิดท้ายด้วยปางอุ๋งอีกซักคืน

กลับมาทำงานวันพฤหัสและศุกร์สองวัน พักให้หายเหนื่อย พอวันเสาร์ที่หนึ่งและอาทิตย์ที่สองธันวาคมก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังเขื่อนแก่งกระจาน ตามที่ได้วางแผนไว้กับพลพรรคที่ออฟฟิศ นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้ไปทริปแบบค้างคืนกับเพื่อนที่ทำงาน นับตั้งแต่ได้เริ่มชีวิตการทำงานมา

ถัดไปอีกอาทิตย์ก็ทำงานอย่างหนัก เตรียมตัวรับศึกใหญ่สำหรับอาทิตย์ถัดไปที่จะต้องยกพลไปทำงานปีเตอร์แพน กันที่พัทยาในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ที่ ๒๑,๒๒และ๒๓ ซึ่งก็หวังว่างานจะออกมาดี สนุก และไม่มีปัญหา ให้สมกับที่คาดหมายกันเอาไว้



พักนี้ติดรายการเกาหลีอยู่สองรายการ X-Man และ Love Letter
คาดว่าหลายคนคงจะเคยผ่านตา หรือไม่ก็เคยได้ยินมาบ้าง ด้วยสรรพคุณที่ขึ้นชื่อเรื่องความฮาและบ้าบอของผู้ร่วมรายการ

รายการแรก X-man ตอนนี้เริ่มฉาย Season ใหม่ และวง Shinwaบอยแบนชื่อดังก็กลับมาร่วมรายการอีกครั้งโดยไม่ลืมที่จะพกลูกบ้าจำนวนมากมาด้วย
ส่วน Love Letter หรือในชื่อภาษาไทยว่า เกมยู้ฮูจับคู่รัก ก็ยังคงสนุกสนานและเต้นกระจายบ้านกระจุยเช่นเดิม

เราไม่ใช่พวกบ้าดาราและนักร้อง โดยเฉพาะนักร้องเกาหลีหรือญี่ปุ่นที่อยู่ในกระแส ทว่าการดูสองรายการนี้ก็ทำให้เรารับรู้และสัมผัสได้ถึงเหตุผลที่ทำให้เด็กไทยคลั่งไคล้

นอกจากเกมที่ง่ายแต่สนุก พิธีกรที่มีความสามารถ และความใส่ใจในการผลิตตัดต่อ การทำกราฟฟิกที่ลงตัวแทรกไปในสถานการณ์ต่างๆแล้ว ผู้เข้าร่วมรายการกว่าสิบคนที่มีทั้งความหล่อ สวย เซ็กซี่ น่ารัก เป็นกันเอง มีความสามารถหลากหลายด้าน และมีลูกบ้าอยู่ในตัวก็ทำให้รายการดูมีสีสันขึ้นได้อีกอักโข

เรารู้สึกว่าดารา นักร้องของเค้า ไม่จำเป็นต้องเก๊กสวย หล่อ อยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่พวกเขาเป็นนักร้องและนางเอกชื่อดัง แต่ก็ยังพร้อมที่จะทำอะไรให้ฮาๆ ได้ตลอดเวลา ออกแนวน่าเกลียดไม่ว่าเอาฮาไว้ก่อน ซึ่งเราว่าดีนะ เอนเตอร์เทนคนดูได้ดี

จะว่าไปเราดูทีวีอยู่ไม่กี่รายการหรอก นอกจากข่าวส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นรายการตลกไร้สาระ ดูไปหัวเราะไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็น X-man, Love Letter, Sit-Com ต่างๆ ทั้งของ Exact และ Scenario ทางฟรีทีวี และ ช่องSeries ทางเคเบิ้ลทีวี ที่พอจะมีสาระอยู่หน่อยก็คือฝึกภาษาไปกับ NHK ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ผลนักหรอก นิ้วคอยแต่จะกดเปลี่ยนช่องอยู่เรื่อย




ดอทเฟย์เคยโพสผลงานวิจัยเกี่ยวกับผู้เขียนไดอารี่ไว้ในเวบไซต์ของเธอว่า
นักจิตวิทยาอังกฤษพบว่าผู้ที่เขียนไดอารี่เป็นประจำมักจะป่วยด้วยอาการปวดหัว นอนไม่หลับ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร และมีอาการประดักประเดิดในการเข้าสังคม มากกว่าผู้ที่ไม่เขียนไดอารี่

ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ ว่าการเขียนบันทึกเหตุการณ์ที่เป็นบาดแผลในจิตใจ จะช่วยให้คนเราทำใจกับเหตุการณ์นั้นได้ง่ายขึ้น การศึกษานี้เก็บข้อมูลจากนักศึกษา 94 คนที่เขียนไดอารี่เป็นประจำ และนักศึกษา 41 คนที่ไม่เขียนไดอารี่ นักศึกษาตอบคำถามเกี่ยวกับการเขียนไดอารี่ และคำถามทั่วๆ ไปเกี่ยวกับสุขภาพ การเก็บข้อมูลครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เขียนไดอารี่อยู่แล้วโดยสมัครใจ เนื่องจากการศึกษาที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้ว ผู้ศึกษาจะขอให้กลุ่มตัวอย่างเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์สะเทือนใจ

ผลการศึกษานี้พบว่าผู้ที่เขียนไดอารี่เป็นประจำ มีสุขภาพที่แย่กว่าคนที่ไม่เขียนไดอารี่มาก และที่มีสุขภาพแย่ที่สุดก็คือคนที่เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์สะเทือนจิตใจลงในไดอารี่ แต่ผู้ศึกษาก็ไม่อาจบอกได้ว่า การเขียนไดอารี่ทำให้สุขภาพแย่ลง หรือว่าเพราะสุขภาพไม่ดีจึงทำให้เริ่มเขียนไดอารี่



เราว่าการเขียนบล็อกไม่ต่างกับการเขียนไดอารี่เท่าไหร่นัก แต่การที่เราไม่ค่อยอัพบล็อกไม่เกี่ยวกับการกลัวว่าจะมีสุขภาพที่ย่ำแย่
เราว่าคนเขียนบล็อกก็อายุยืนยาวได้ ถ้าพักผ่อนเพียงพอ ท่องเที่ยวบ่อยๆ และดูรายการตลกเสียบ้าง!!

Labels: ,

November 13, 2007

ทุกเย็นวันเสาร์คือการตระเวน






มันคือความสุขเล็กๆน้อย
ณ ร้านริมผา ลาภิณ Scenic Bar & Restaurant
ห่างจากพัทยามาทางระยอง สิบห้ากิโล ...
ราคาอาหารสูงไปหน่อยแต่ก็ถือได้ว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับบรรยากาศ...

Labels:

November 10, 2007

หลังเลิกงานคือการเฮฮา
















หากคิดจะถ่ายภาพ อย่าทำให้มันเรียบง่าย!!
เพื่ออรรถรสในการชม
กรุณาครีเอทการถ่ายภาพของคุณกับแผ่นป้ายโฆษณาในศูนย์การค้าพารากอนภาพนี้ก่อนการชม....
..
..
..













.
ไม่ๆ เราไม่ถ่ายกันแบบนี้แน่...
แบบนี้มันธรรมดาไป!!
ไปดูกันดีกว่าว่าเราได้อะไรมาจากการครีเอทภาพนี้กันบ้าง
เน้อ~~

..
..
..
























































































































แถมภาพสุดท้าย ก๊วนไอทีแทคที่ไปกินเอ็มเคกันวันนั้น
นี่เลือกรูปที่ตัวเองโดนไฟส่องมากที่สุดแล้วนะ \(^_^)/
ยังดำอยู่ดี :D


Labels:

November 06, 2007

เพื่อนฝ้าย

เย็นนี้อารมณ์ดี
เดินกลับบ้านดีๆก็เจอเจ้าฝ้ายเดินผ่านมา
อ้าฮ้า! ลืมไปเลยว่าบ้านฝ้ายอยู่แถวพญาไท!!
มันเดินตัวเล็กกะทัดรัด หัวน้ำตาลหยิกหย่องน่ารัก ผิวขาวใสปิ้ง จนสังเกตได้ในระยะไกล
โฮกกกกกกกกกกกกกกกก......น่ารักโคตรๆ
น่ารักจนนึกไม่ออกว่าจะพูดว่าอะไร
เลยเอื้อมมือไปแตะแขนทักบางเบา
ทั้งๆที่แทบอยากจะกระโดดกอด
เพราะไม่ได้เจอกันโคตรนาน

สมัยก่อนตอนเรียนมหาลัยชอบกอดมันบ่อยๆ
ตัวมันหยุ่นๆ อุ่นๆ แก้มนิ่มๆ
จิ้มไขมันตรงเอวมันเล่นระหว่างคาบเรียน เด้งดึ๋ง สนุกดี ฮ่ะฮ่าฮ่า
เจอกันคราวนี้มาแบบเวอร์ชั่นเป็นสาว
เห็นแล้วแปลกตาดีเหมือนกัน
ไม่คิดว่ามันจะสาวได้ถึงขนาดนี้

อ่ะ ลงรูปให้ดู
แต่บอกไว้ก่อน ตัวจริงงามกว่ากันเยอะ!!

















ฝ้ายเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ประมาณชีวิตร้อยห้าสิบเซ็นต์ต้นๆ
จบเอกสิ่งพิมพ์ วารสารธรรมศาสตร์
ตอนนี้เลยเป็นกอง บก. ในสำนักพิมพ์นิยายวัยรุ่นแห่งหนึ่ง

ฝ้ายเป็นคนจิตใจดี
เป็นห่วงเป็นใยคนอื่นเสมอ
ยังจำได้ดีว่า
ฝ้ายจะกุลีกุจอลูบหลัง ตบไหล่เราทุกครั้งที่เราไอยามไม่สบาย

ปีใหม่ ฝ้ายมักจะมีของขวัญให้แสนประหลาดใจ
เป็นต้นว่า ตุ๊กตาไข่หมุน ที่เราหยอดเงินแลกมา
ภาพโปสเตอร์การ์ตูนทำมือ
หรือแม้กระทั่ง รูปวาดกระเทย

ฝ้ายชอบวาดรูปในห้องเรียน
เราเห็นพัฒนาการตั้งแต่สมัยปีหนึ่งที่ฝ้ายวาดการ์ตูนได้แข็งกระโด้ก
จนถึงวันที่ฝ้ายวาดได้พลิ้วสวย

ฝ้ายชอบวาดรูปในห้องเรียน
แต่ทุกคนชอบล้อ
ตัวการ์ตูนของฝ้าย ไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างดูคล้ายกระเทย
ฝ้ายไม่เคยปฎิเสธ..

ฝ้ายเคยพนันกับเราว่าจะจีบใครคนนึงให้ติด
เราให้เวลาฝ้ายสามเดือน
กำหนดสิ้นสุดที่วันวาเลนไทน์
แต่ฝ้ายทำไม่สำเร็จ
จวบจนวันนี้ยังติดหนี้พิซซ่าหน้าฮาวายเอี้ยนถาดใหญ่เราอยู่หนึ่งถาด

ฝ้ายยังโสด
คงอีกนานกว่าคุณเธอจะเลือกใคร
แต่เราไม่แนะนำให้ใครหรอกนะ
เก็บไว้จิ้มพุงมันเล่น สนุกดี :)

Labels:

October 26, 2007

IQ Groups II

พักนี้เน้นอัพรูป เนื่องจากขี้เกียจเขียน......

.
.
.
.
.
.














เครดิต : ตั้งกล้องถ่ายโดย อัญมณี

.

หมายเหตุ : ตกลงว่าแกตำแหน่งอะไรกันแน่วะนัท?


Labels:

October 17, 2007

ELLE Fashion Week 2007


โชคดีมีพี่ผู้มีพระคุณมอบบัตรเชิญงานแฟชั่นโชว์ของท่านหญิงให้
เลยได้มีโอกาสเข้าไปเป็นหนึ่งในหกร้อยคนที่สามารถผ่านประตูเข้าไปในงาน
ทราบซึ้งสุดใจกับความเอื้อเฟื้อของผู้มีพระคุณท่านนั้นจนน้ำตาไหลพราก
.



ปลาบปลื้มกับแฟชั่นโชว์จบก็ยืนโหนรถเมล์แดงกลับบ้าน

ช่างไฮโซเสียจริงชีวิตเรา....

ปล. ความอเน็จอนาถของคนถ่ายรูปได้คือ ไม่เคยมีรูปตัวเองดีๆ (ช่างน่าเศร้า) - -'

Labels:

October 16, 2007

IQ Groups

เดี๋ยวจะหาว่าไม่อัพบลอก
ช่วงนี้ขี้เกียจพิมพ์เลยเอารูปมาให้ดูไปก่อน
เป็นรูปเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ออฟฟิต



ไม่มีอะไรเขียน

ไปและ

Labels:

September 22, 2007

ซักวันเราจะโต

เพิ่งตระหนักได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่าต้องรีบโตเป็นผู้ใหญ่เสียแล้ว
ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากว่ามีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่รออยู่เบื้องหน้าในอีกสี่ปีอันใกล้นี้

น้องเจ้านาย เป็นลูกของพี่ตุ้งน้องสาวของพี่เชรษฐ์ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเราซึ่งพี่เชรษฐ์ได้เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออกด้วยเหตุบางประการ
หลานของเราคนนี้เป็นเด็กเลี้ยงง่าย ขี้อ้อน น่ารัก และมีเหตุผลเกินเด็กจึงทำให้เข้ากับเราได้ดีจนน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว
ด้วยเหตุผลที่สามารถเข้ากับหลานได้ดีเป็นพิเศษ รวมถึงเหตุผลหลักที่ญาติฝ่ายแม่ทุกคนรู้กันดีว่า เราจะไม่แต่งงาน ทุกคนเลยฝากฝังให้เราเป็นคนเลี้ยงหลานชายวัยแปดขวบคนนี้ โดยให้เหตุผลที่ฟังดูดีว่า เชื่อใจว่าเราสามารถเลี้ยงหลานให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดีได้ ซึ่งเราก็ไม่ขัดข้องที่ความรับผิดชอบเรื่องนี้แต่ประการใด ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ถูกอวย แต่เป็นเพราะเรารักหลานคนนี้มากในระดับที่อาจเรียกได้ว่ารักเหมือนลูกในไส้ แม้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

ครั้งแรกที่ถูก ‘ฝากฝัง’ นั้น น้องนายยังเป็นเด็กขี้อ้อนตัวเล็กๆอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น
ทุกคนจึงตกลงกันว่า ควรรอให้น้องนายโตพอที่จะแยกออกมาอยู่ในความรับผิดชอบของเราตามลำพังเสียก่อน นั่นก็คือซักอายุประมาณสิบสองขวบ ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกว่า อีกยาวไกลเหลือเกินยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะจัดการอะไร อะไรให้ลงตัวเสียก่อน...

วันเสาร์ที่ผ่านมาได้รับเชิญให้ไปช่วยจัดการงานทำบุญเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่ของตาทิวา น้องชายของตาแท้ๆของเราแถวโชคชัยสี่ เราก็ถูกถวงถามถึงเรื่องความรับผิดชอบนี้อีกครั้ง
พอมานั่งนึกๆดูแล้ว เฮ้ยย! เหลืออีกไม่กี่ปีเองนี่หว่า เพิ่งตระหนักได้อย่างแรงว่าเหลือเวลาอีกแค่สี่ปี! และสี่ปีในความคิดของเราก็ช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน
อีกเพียงแค่สี่ปีก็จะมีเด็กชายตัวน้อยๆที่คงจะโตขึ้นไม่น้อยและอยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อมาอยู่ในความรับผิดชอบดูแล เป็นเหมือนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ต้องคอยอบรมบ่มเพาะให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งให้ได้

เมื่อรู้สึกตัวว่าอีกเหลือเวลาให้เถลไถลเล่นอีกแค่สี่ปี เราก็แอบกังวลอยู่หน่อยๆ ไม่ใช่สิ ไม่หน่อย แต่เป็นความกังวลมากทีเดียวเลยล่ะ
จากเป็นคนที่เคยคิดว่า ตัวเองเป็นคนประเภทไม่มีความฝัน ไม่มีสิ่งที่อยากปกป้อง แค่อยู่ด้วยกำลังของตัวเองอย่างอิสระก็เพียงพอแล้ว กลับกลายเป็นตรงข้าม โลกหมุนกลับตาลปัดไปหมด
ตอนนี้เลยต้องมานั่งวางแผนอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พักอาศัย รายได้ หรือจะเป็นเรื่องการเตรียมมองหาโรงเรียนให้หลาน ไม่รู้สิ โดนความรักบังตาซะแล้วล่ะมั้งเรา...

ต้นปีหน้าได้ข่าวว่าพี่เชรษฐ์จะแต่งงาน ลุงเชรษฐ์ของน้องนายก็จะมีภาระให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เราได้แต่หวังว่าสำหรับหลานแล้วคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในความรู้สึก แม้ผู้หญิงของพี่เชรษฐ์จะเป็นคนดีน่ารักแค่ไหน แต่เราก็ยังอดห่วงหลานไม่ได้ ก็แหงล่ะ น้องนายเป็นประเภทเข้ากับคนยากนี่นะ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ด้วยแล้วไม่รู้เลยว่าผลจะเป็นยังไง
เอาเป็นว่าเราคงจะต้องรีบเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงไว้เป็นแผนสำรอง นั่นคงดีที่สุด เราคิดว่านะ...




Lisa Ono/Tom Walker

Album Jambalaya - Bossa Americana


First time I saw my son, I knew I was in love

Because he was the gift I got from somewhere up above


O wow, o yes, o joy, such joy right here in my arms

He looks at me, I can see he's showing all his charms


Can't remember what I did before I saw his face

But now he's here and I can feel his amazing grace


Watching him play somehow, reminds me of myself

Once upon a different time when I was someone else


O me, o my, I feel so high every single day

O yes, ole my lord yea yea watching my son play


First time he walk it was a step into a chance

I took his hand and then we started life's dance


The first dance was so fine that I never will forget

He held my hand so tightly that I haven't stopped dancing yet


My love, my boy, my son, my joy always keep your glowand

And now that love will be with you wherever you may go


And if something should fall apart somewhere down the line

Just tell me all about it and I will make it fine


I traveled many roads before but somehow they were wrong

And sometime we find that life is just a simple song


Even the saddest songs have a human face

I will always keep my son in love's magic place

Labels:

August 23, 2007

อาทิตย์หนึ่งมีแปดวัน

ช่วงนี้
ทำงานอาทิตย์ละแปดวัน
วันละยี่สิบห้าชั่วโมง
งานเยอะเกินกว่าจะรับมือไหว
เหตุเพราะบริษัทขายงานได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า
รับงานซ้อนงาน จนแทบไม่มีเวลาได้หายใจ
วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ วันลงประชามติ
หรือแม้กระทั่งวันจันทร์หลังลงประชามติก็ยังต้องไปทำงาน
((โอทีไม่มีเสียด้วยสิ มีแต่โอฟรี -“-))
ใช้เวลาในออฟฟิตเยอะถึงเพียงนี้
แต่ก็ยังรู้สึกว่างานล้นมืออยู่ดี
คงเป็นเพราะอู้เยอะไปหน่อย
((ฮ่ะๆๆ บ้าน่า ใครจะว่างอู้กันเล่า บู่ๆ~))

เดี๋ยวเสาร์นี้ก็ต้องไปจัดงานแฟชั่นโชว์ที่หาดใหญ่อีก
((มีนางแบบ- นายแบบเปลือยกาย Body Paint ด้วยนะ โว้วๆๆ~))
เอาเข้าจริง ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ไปมั้ย (( -“- แล้วแกจะพูดทำไม ห๊า ))
เพราะถ้าเราไปหาดใหญ่
งานที่นี่ก็จะไม่มีคนคุมงานเลย
แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็จะไม่เหลือใครที่พอจะตัดสินใจได้เลย ((ทำไม "จะ" บ่อยจังว้า))
ถึงแม้งานที่กรุงเทพนี้จะเป็นโปรเจคที่เล็กกว่างานแฟชั่นโชว์ที่หาดใหญ่ก็เหอะ
แต่มันก็เป็นงานวัน Grand Opening เหมือนกันนะเฟร้ย~ ชริๆ~
อย่ามัวแต่สนใจงานใหญ่ จนลืมงานเล็กสิเฟร้ย~! ((ใช่ๆ))
ตอนนี้รู้สึกห่วงงานที่กรุงเทพเหมือนห่วงลูกเมียน้อยที่ไม่มีคนสนใจ
((แล้วแกไปมีลูกมีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่กันเหรอ?))
สองจิตสองใจวุ้ย จะไปหาดใหญ่หรือจะไม่ไปดี... ((นั่นสิ))
อืมม......
....
....
....
...
..
.
คงต้องตัดสินใจภายในคืนนี้แหละ!
เอาเป็นว่า จะพยายามเคลียร์งานที่นี่ให้เสร็จภายในคืนนี้
ถ้าส่งต่องานได้อย่างวางใจก็คงจะไป
((แหงล่ะ มี Body Paint ด้วยนี่ ฮ่ะๆๆ))
แต่ถ้ามีเรื่องที่ทำให้ไม่วางใจแม้แต่เล็กน้อยก็คงต้องตัดใจจากงานหาดใหญ่
(( ตัดใจได้จริงง่ะ?))
เพราะอย่างน้อยที่หาดใหญ่เจ้านายทั้งสองคนก็ลงทุนไปคุมงานเอง
ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็คงแก้ไขกันได้สบาย
แต่โปรเจคที่นี่อีกสองโปรเจคเป็นความรับผิดชอบของเราคนเดียวมาตั้งแต่ต้น
งานจะออกมาดีหรือไม่ดี เราก็รับไปเต็มๆ
จะรับผิด หรือรับชอบ ก็ว่ากันอีกที

แต่ก็น้า~
อยากไปหาดใหญ่จัง
ถึงจะเป็นการไปทำงานไม่ใช่ไปเที่ยวก็เถอะ
ก็งานนั้นมันเป็นงานของการท่องเที่ยวนี่นา
อย่างน้อยมันก็คงให้ความรู้สึกว่าไปเที่ยวอยู่บ้างแหละน้า~ ((จริงง่ะ?))
(( แล้วจะมีระเบิดมาบึ้มรึเปล่าง่า~???))

เอาล่ะ~
เพื่อหาดใหญ่!
มาพยายามให้เต็มที่ดีกว่า!
เน้อ ~


เอารูปออฟฟิตที่สิงอาทิตย์ละแปดวันมาฝาก



ดูเผินๆ บรรยากาศน่าทำงานเน้าะ~ ((เอ๊ะ หมายความว่าไง))

ไปดีกว่า~


Labels:

July 28, 2007

ย้ายงาน-ย้ายหอ

ไม่ได้อัพเดทเสียนาน มีหลายสิ่งที่อยากเล่า
บางเรื่องก็ลืมไปแล้ว บางเรื่องก็ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง
เยอะแยะมากมาย หลายสิ่ง จะลองพยายามเล่าดู
เอาเป็นว่าวันนี้จะเขียนเล่าไปเรื่อยๆ
เริ่มที่ไหน จบอย่างไร คงได้รู้ไปพร้อมๆกัน

เอาที่เรื่องงานก่อน
ตอนต้นปีเกริ่นเอาไว้ว่ากำลังจะเริ่มงานในสายธุรกิจแต่งงาน
และให้รอดูไปพร้อมกันว่าปลายปีจะยังคงทำงานสายนั้นอยู่รึเปล่า
ตอนนี้ วันที่ 28 เดือน 7 ผ่านมาได้ไม่กี่เดือน
ก็ขอป่าวประกาศว่าข้าพเจ้าคนนี้ได้ย้ายงานอีกแล้ว
บอกใครก็มีแต่คนบอกว่า ไอ้นี่เปลี่ยนงานบ่อยจริง
ยอมรับโดยดุษฎี ไม่ปฎิเสธ แล้วไงวะ เปลี่ยนงานบ่อยแล้วไง
เจ้ากอร์นบอกอิจฉาพี่ว่ะเปลี่ยนงานง่ายดี
คนอื่นเค้าอยากออกจากงานแต่ไม่กล้าออกถมเถ
เออ เรื่องของพวกมัน ปรัชญาการดำเนินชีวิตของใครของมัน
อีกอย่างชั้นก็ไม่ได้หางานได้ง่ายขนาดนั้น รู้ไว้ด้วย!

ถามว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ ก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นครีเอทีฟงานอีเว้น
ทำมาครบ 22 วันพอดิบพอดี
ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเปลี่ยนงานอีกมั้ย
ตอบได้เต็มปากเต็มคำอีกเช่นกันว่า
จะเปลี่ยนงานอีกในไม่กี่เร็ววันนี้ล่ะ
ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหละน้อง


วันแรกที่ไปทำงานที่นี่ ทีมงานที่ออฟฟิตถูกไล่ออกไปหนึ่งคน
เช้าวันต่อมาทีมงานที่เหลือเดินมาบอกว่า "พวกหนูจะลาออกแล้วนะพี่"
ซวยสิกู อะไรกันนี่ ชั้นเพิ่งมาทำงานได้สองวันเองนะเว่ย มันเกิดอะไรขึ้นนนนน
ช่างแม่งมัน เล่าข้ามช็อตไป เพราะขี้เกียจอธิบายเหตุผล
สรุปว่าวันนี้ทุกคน (ยกเว้นน้องเกมที่ออกไปตั้งแต่วันแรก) ก็ยังทำงานกันดีอยู่
เพียงแต่ว่าวันที่ 23 เดือนหน้าก็จะไม่มาทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว
เหลือแค่ไอ้นัทกับเราที่ต้องเผชิญชะตากรรมต่อไป
พูดถึงไอ้นัท มันก็คงทำอีกไม่นานหรอก
อย่างมากก็แค่ทำจนจบงานเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์
ปล่อยมันไปตามทางของมัน
แค่ที่มันยังมาทำงานเพราะต้องการช่วยงานเราก็ดีถมเถแล้ว
ขอบใจแกว่ะ

ส่วนเราก็ยังไม่รู้ลูกผีลูกคน
ทุกวันนี้พยายามทำตัวชิลล์ๆ หาความสุขไปวันๆ
มีคนบอกว่า ความทุกข์ 95% มาจากอดีตและอนาคต
มีเพียง 5% เท่านั้นที่มาจากปัจจุบัน
เราพยายามเชื่อและปฏิบัติอยู่

ช่วงนี้ก็เริ่มมองหางานใหม่
ได้ก็ไป ไม่ได้ก็ไม่รู้ว่ะ
แต่ก็ไม่แน่นะ อาจจะอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้
เพราะเท่าที่ดูเจ้านายก็ไม่ค่อยกล้าหือกับเราซักเท่าไหร่
ไม่รู้เพราะเอาใจกลัวลาออก หรืออะไร ช่างแม่งเหอะ
อย่ามาทำเรื่องมากกับเราละกัน

ตอนนี้รับหน้าที่เป็นกันชนให้กับทีมงาน
เพราะคุยกับเจ้านายรู้เรื่องที่สุด หรือย่างน้อยคุยอะไรกับเจ้านายก็ไม่เคยโดนด่า
มีอำนาจการต่อรอง ดี แบบนี้แหละดีแล้ว
มันคงเป็นหน้าที่ที่ต้องทำแหละ และก็ไม่ได้นักหนาอะไร
ว่ากันว่า อำนาจ มักมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
เป็นเฮดครีเอทีพต้องทำใจยอมรับ
เอาเข้าจริง รู้สึกว่าตัวเองเป็นเฮด แต่ไม่ได้เป็นครีเอทีฟเลยซักนิด
เพราะมัวแต่เมนเนจงานให้ทีมงานจนไม่ค่อยมีเวลาคิดงานของตัวเอง
เจ้านายบอกว่า ให้พยายามเอางานออกจากตัวเอง จะได้มีเวลาคิดเยอะๆ
เออ พูดออกมาได้ไม่รู้เร้อว่า เวลาที่เราเอาหูฟังใส่หูน่ะ
เราพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาด้วย
จะคิดงานว๊อยยย เข้าใจมั้ยยยย


เมื่อวานมีความสุขดี
ถึงแม้จะทำพรีเซนต์ไปเสนอลูกค้าได้อย่างมึนๆ แต่ก็รอดมาได้ด้วยดี
ที่สำคัญ วันนี้วันเสาร์ ไม่ต้องทำโอที อาทิตย์ก็หยุด วันจันทร์ก็หยุด
หวังว่าคงไม่มีใครโทรมาตามตัวไปทำงานหรอกนะ
อย่าเลย ไม่ต้องโทรมาตามตัวหรอก
เพราะถึงยังไงๆ พรุ่งนี้ก็จะโทรไปถามความคืบหน้าของงาน
และนั่งเขียนสคริปต์ และอื่นๆให้อยู่ดี
เวิร์คแอทโฮม สบายใจกว่าว่างั้น


พรุ่งนี้มีเรื่องให้ทำอีกหนึ่งเรื่องนั่นคือ ย้ายหอ
หลังจากอยู่ทองหล่อได้เกือบครึ่งปีก็ต้องระเห็ดอีกแล้ว
พรุ่งนี้จะย้ายมาอยู่หอแถวๆอนุเสาวรีย์ชัยกับเจ้าคีนและเจ้าอีฟ
ชินกับการอยู่คนเดียวมานาน คงต้องปรับตัวกับการมีรูมเมทอีกพักใหญ่
อย่างน้อยก็เรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้อง
เอาเหอะ ทุกอย่างมันก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนทั้งนั้น
เออ พรุ่งนี้ย้ายหอ พี่บุ๊คจะลืมรึยังนี่ว่าเรานัดกันไว้
เจ้านัทอีก ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะมีเดทกับเพื่อนชาวอเมริกันอะไรนั่นรึเปล่า
ได้แต่ภาวนาว่าให้จำได้และว่างมาช่วยขนของเหอะ
พรุ่งนี้อีฟต้องไปทำโอที่บริษัท
คีนก็กลับบ้านไปแล้ว
ถ้าเหลือแต่เรากับพี่กิมสองคน คงโดนตู้ทับตายอนาจกันแน่
พรุ่งนี้เช้าต้องโทรไปสำทับอีกที หวังว่าคงไม่ลืมโทรหรอกนะ

ไปเปิดบัญชีธนาคารนครหลวงไทยมา เพราะต้องเอาเงินเดือนเข้า
ก็ไปกับเจ้านัทสองคนนี่แหละ ใกล้ๆออฟฟิต เดินไปประมาณห้าสิบเมตรก็ถึง
ทำตามกระบวนการทุกอย่าง เซ็นต์เอกสารไปสองสามใบ
ของเจ้านัทไม่มีปัญหาอะไร
พอถึงตาเรา มีปัญหาซะอย่างงั้น
เจ้าหน้าที่บอกว่าลายเซ็นต์ของเราในเอกสารแต่ละใบไม่เหมือนกันซักอัน
ต้องขีดฆ่า และเอาอันใดอันหนึ่งมานั่งลอกให้เหมือนกันทุกแผ่น
เออ เว่ย เพิ่งเคยเจอ ต้องมานั่งลอกลายเซนต์ของตัวเอง
ไม่ใช่อะไรหรอก คงเพราะวันนั้นเจ้าแม่กาลีเข้าสิงตั้งแต่เช้า
ทีมงานทุกคนบอก ดูดุๆตั้งแต่เช้า พร้อมชนกับทุกเรื่อง
ส่วนเจ้านัทชอบอกชอบใจ บอกมันดี พูดจาดุดันกระแทกกระทั้นดี
คงเพราะอารมณ์ดุดันเลยทำให้ลายเซนต์ดุดันตามไปด้วย
ผลเลยปรากฎว่าต้องมานั่งใจเย็น ทำให้ลายเซนต์ของตัวเองเป็นเวอร์ชั่นปกติ
คนนอนน้อย ทำงานหนัก ถูกกดดันด้วยเวลา และงานก็เป็นแบบนี้แหละ
เอ หรือคนอื่นเค้าไม่เป็นกัน

นี่ซังโทรมาพอดี ถามเวลานัดพรุ่งนี้
เลยบอกไปว่าบ่ายสองตามที่คุยไว้กับพี่กิมเมื่อบ่าย
สบายใจไปหนึ่งคนว่าไม่ลืมกัน
ส่วนเจ้านัทคงต้องโทรถามพรุ่งนี้เช้าอีกที


ลืมแล้ว ไม่รู้ว่าจะเล่าอะไรต่อ ไว้คิดออกจะมาอีดิทเพิ่มเติมละกัน
จบมันห้วนๆแบบนี้แหละ

สวัสดี

Labels: ,

July 12, 2007

ป้าย



July 05, 2007

คอสเพลย์

พักนี้เฮียขี้เกียจเขียน ขอแปะภาพเพื่อนๆ JC จากงานคอสเพลย์ก่อนละกันนะ พักนี้นานๆทีจะได้ไปงานประเภทนี้ เจอเพื่อนน่ารักๆแล้วเห่อครับ เห่อ








ภาพโดย : จิรโรจน์

ปล. เมื่อไหร่ฝนจะเลิกกับพี่เป็ดวะ?

May 20, 2007

กระดาษแปลกหน้า


เฮียว่าเฮียคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เอาข้อความพวกนี้ลงบล็อกตัวเอง…
เรื่องมันเริ่มต้นอย่างสุดแสนธรรมดา เมื่อเฮียเกิดโรคจิต ทุรนทุราย เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาปกติของตัวเองกับเพื่อนร่วมงานได้ จนทำให้ต้องดิ้นรนหาซื้อหนังสือมาสื่อสารกับตัวเองอาทิตย์ละไม่ต่ำกว่าหนึ่งเล่มทั้งๆ ที่จนกรอบ
และแล้ววันวันร้ายคืนร้าย เฮียก็พบว่ามีกระดาษแปลกปลอมแทรกอยู่ที่หน้าแรกของหนังสือที่ตัวเองเพิ่งซื้อมา..........







"พอจะมีหนังสือเกี่ยวกับสวีเดนบ้างมั้ยคะ?" ใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ขณะที่ผมกำลังรับธนบัตรสีแดงสี่ห้าใบผ่านลงเครื่องเก็บเงินด้านหน้า เพื่อเป็นค่าหนังสือขนาดกะทัดรัดสองสามเล่มที่ถูกเลือกแล้ว
เธอเป็นผู้หญิงผอมเอามากๆ และค่อนข้างจะสูงเมื่อเทียบกับความสูงของผม เดาเอาว่าน่าจะประมาณร้อยหกสิบห้า ไม่ก็ร้อยหกสิบหก ไม่ขาดไม่เกินจากนั้น
นอกจากความสูงของเธอที่ผมพอจะคาดเดาเป็นเซนติเมตรได้แล้ว อย่างอื่นเกี่ยวกับตัวเธอที่ผมรู้ก็คือ เธอเป็นผู้หญิงในชุดสีดำ ถึงแม้จะไม่ดำทั้งชุด แต่ทุกครั้งที่ผมพบเธอ ทุกครั้งที่เธอมาเลือกซื้อหนังสือที่ร้านที่ผมทำงานอยู่ เธอปกปิดร่างกายท่อนบนด้วยเสื้อสีดำทุกครั้งไป (บางครั้งตัวผมเองก็นึกสงสัยว่าในตู้เสื้อผ้าของเธอจะมีเสื้อผ้าสีอื่นอยู่บ้างหรือไม่หนอ?) และก็ทุกครั้งอีกเช่นกันที่เธอมักจะได้หนังสือที่ผมพิถีพิถันบรรจงห่อปกเองติดมือกลับบ้านไป
ข้างๆ ร้านหนังสือมีร้านเล็กๆ ขายดอกไม้



ฉันเอื้อมไปไม่ถึง
สัมผัสมันไม่ได้
แต่อิริยาบทของดอกไม้
ก็ประทับใจไม่น้อยกว่าที่เคยประทับใจ
ฉันรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษออกไป
(ข้อความจาก สวยสดและงดงาม หนึ่งในหนังสือที่เธอเคยซื้อไป)



ข้างๆ ร้านหนังสือมีร้านเล็กๆ ขายดอกไม้
ผมเห็นเธอซื้อดอกกุหลาบไม่ก็ดอกเยอร์บีร่าสีสันสดใสติดมือไปด้วยทุกครั้ง (ดูเธอช่างมีความสุขล้นเหลือ ผมคิดว่าน่ะนะ)
ผมพูดคำว่า “ทุกครั้ง” บ่อยไปหรือเปล่าหนอ?
ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอ มันมักจะมีอะไรๆ เกี่ยวกับคำว่า “ทุกครั้ง” ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งไป ผมไม่รู้จะเรียกเธอว่าอะไรดี คุณจะเห็นด้วยกับผมไหมหากจะเรียกเธอว่า “คุณทุกครั้ง”หรือ “always girl”
ทุกๆ ครั้งที่เธอเปิดประตูร้านก้าวเข้ามา ผมชอบสังเกตสังกาเธออย่างเงียบๆ เสมอๆ เช่นกัน หากผมจะขนานนามเธอว่า always girl ผมเองก็อาจจะถูกเธอเรียกว่า always guy ได้โดยที่ผมไม่อาจจะโต้แย้งอันใดได้
เธอมาพบผม ไม่บ่อยนัก อาทิตย์ละครั้ง หรือบางอาทิตย์ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวและเห็นหน้าเธอเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหรือสายฝนกันแน่ที่ทำให้ผมต้องแอบเดินไปเดินมารอบตัวเธอขณะที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาเลือกหนังสือ
มีเหตุผลเป็นล้านที่สามารถอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้ของผมได้ แต่ผมจะไม่ยอมรับมันทั้งหมดหรอกนะจะบอกให้
"พอจะมีหนังสือเกี่ยวกับสวีเดนบ้างมั้ยคะ?" เธอเอ่ยถามขึ้น ขณะที่ผมกำลังรับธนบัตรสีแดงสี่ห้าใบผ่านลงเครื่องเก็บเงินด้านหน้า เพื่อเป็นค่าหนังสือขนาดกะทัดรัดสองสามเล่มที่เธอเลือก (ก่อนที่เธอจะเดินออกไปซื้อดอกไม้ร้านข้างๆ เช่นทุกครั้ง)
ผมยิ้มและรีบเสิร์ซหาข้อมูลจากจอเครื่องมือที่ผมคุ้นเคย
“ไม่มีเลยครับ” ผมตอบและยิ้มอีกครั้ง
และก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมา ผมก็ชิงแสดงความใส่ใจตามหน้าที่อันพึงกระทำทันที
ครับ ผมขอให้เธอจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของเธอลงไปในกระดาษโน้ตของผม เพื่อที่ว่าผมจะได้สามารถโทรกลับหาเธอได้ทันทีที่ตรวจสอบพบว่ามีหนังสือเกี่ยวกับสวีเดนเข้ามาในร้าน!
ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังหาหนังสือที่เธอต้องการอ่านไม่ได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าในวันที่หนังสือนั้น วางแปะลงบนชั้นในร้านแห่งนี้ ผมจะรีบโทรบอกเธอ...






ให้ตายเถอะว่ะ
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง!!!!




May 16, 2007

คุยกับตัวเอง


-๑-
ว่ากันว่า
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงมักพยายามทำตัวให้กลมกลืน
กับมนุษย์คนอื่น อื่น ในสังคม

แต่
ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมด
และ ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน
ที่สามารถทำตัวให้กลมกลืน
กับมนุษย์คนอื่น อื่น ในสังคมได้

ผมคิดว่า
ตัวเองเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อย
ที่ไม่สามารถทำตัวให้กลมกลืน
กับมนุษย์คนอื่น อื่น ในสังคมได้

หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจน
ก็คือ
ไม่ แม้แต่จะพยายามทำตัวให้กลมกลืน
กับมนุษย์คนอื่น อื่น ในสังคมเลย
แม้แต่น้อย...



-๒-
คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางบ้างไหม?
นั่นล่ะ
คือสิ่งที่ผมรู้สึก
อยู่ตลอดเวลา



-๓-
มนุษย์เรามีหน้ากากอยู่หลายอัน
หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป
ตามวาระ กาละ และเทศะ
ใส่ ถอด
ถอด ใส่
ใส่ ใส่
ถอด ถอด
ถอด ถอด
ใส่ ใส่

หน้ากากที่แท้จริงของผม
ไม่สามารถกลมกลืนกับ
หน้ากากของคนอื่น อื่น ในสังคมได้
ด้วยเหตุที่ว่า
หน้ากากที่ว่านั้นไม่เหมือนกับ
หน้ากากของคนอื่น อื่นในสังคม เลย
แม้แต่น้อย...



-๔-
และ
สมองของผมก็สั่งการ
ต่างกับสมองของคนอื่น อื่น ในสังคม
เช่นเดียวกัน

สมองของผม
มักสั่งการให้ตัวผมเอง
สวมหน้ากากที่แท้จริง
มากกว่า...



-๕-
และ
แม้หน้ากากที่แท้จริงของผม
จะแตกต่างกับ
หน้ากากของคนอื่น อื่น ในสังคม
แต่
ผมก็รักหน้ากากของตัวเอง
ผมรักตัวเอง
ที่เป็นอยู่ขณะนี้

นอกจากนี้แล้ว
ผมยังรักและเกลียด
อีกหลายสิ่ง
เป็นต้นว่า
ผมรักความเงียบ
ผมเกลียด........
ผมรักความโสด
ผมเกลียด........
ผมรักพื้นที่ส่วนตัว
ผมเกลียด........
ผมรักการทำสิ่งดี ดี ให้เพื่อนมนุษย์
ผมเกลียด........
ผมรักการทำงาน
ผมเกลียด........
ฉันรักการนอน
ผมเกลียด........
ผมรักการใช้ชีวิต
ผมเกลียด........
ผมรักความสงบ
ผมเกลียด........
ผมรักความคิด
ผมเกลียด........
ผมรัก.............
ผมเกลียด........
ผมรัก.............
ผมเกลียด........
ผมรัก.............
ผมเกลียด........
ผมรัก.............
ผมเกลียด........
ผมรัก.............
ผมเกลียด........


ผมรักเพื่อนมนุษย์
ผมเกลียดการเข้าสังคม.



-๖-
ว่ากันว่า
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
ผมเกลียดการเข้าสังคม
หรือว่า...
ผมไม่ใช่มนุษย์?



Labels:

April 14, 2007

เรื่องของนกไม่มีเสียง


สงกรานต์ปีนี้
ได้หนังสือให้ตัวเองมาหนึ่งเล่ม
เรื่องภาษาไทยคือ
"เรื่องของนกไม่มีเสียง"
และมีชื่อภาษาอังกฤษตัวเล็กๆ
พ่วงอยู่ท้ายชื่อภาษาไทยว่า
"a story of a lonely bird who is falling for the moon"






บางครั้ง การอ่านหนังสือซักเล่ม
ในวันที่
เวลาไม่มีความหมายต่อการดำรงอยู่
ก็ทำให้สุขใจดีเหมือนกันนะ






.......

.......






บทนำ



-1-


เป็นความจริงที่ว่า
เมื่อหลายล้านปีมาแล้ว
นกได้วิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้
ในสมัยแรก
นกทำได้เพียงร่อนจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง
ต่อมาสามารถบินได้ด้วยการกระพือปีก
จนในที่สุด
จึงได้วิวัฒนาการเป็นนกนานาชนิดขึ้นมา





-2-


เป็นความจริงที่ว่า
นกเป็นสัตว์เลือดอุ่น มีขนปกคลุมอยู่ทั่วตัว
แต่เอกลักษณ์ที่สำคัญคือ มันบินได้
แต่ไม่ใช่นกทุกตัวที่บินได้
และไม่ใช่สัตว์ที่มีปีกทุกชนิดจะเรียกว่า นก
สิ่งเดียวที่นกมี แต่สัตว์อื่นไม่มีคือ ขนนก
ฉะนั้น ถ้าเห็นสัตว์ที่มีขนนกอยู่บนตัว
ก็แน่ใจได้เลยว่า มันคือนก





-3-


เป็นความจริงที่ว่า
นกในโลกมีอยู่ประมาณ 8,600 ชนิด
อาศัยอยู่ทั่วไป ทุกหนทุกแห่ง
เฉพาะในเมืองไทยเราก็มีประมาณ 830 ชนิด
บางชนิดเราไม่เคยพบเห็นเลย
และอีกหลายๆ ชนิด กำลังจะสูญพันธุ์





-4-


เป็นความจริงที่ว่า
นกเรียนรู้สิ่งที่มันต้องทำในชีวิตจากสัญชาตญาณ
เช่น การหาอาหาร การบิน การหาคู่
การเลี้ยงลูก และการอพยพย้ายถิ่น
สัญชาตญาณเป็นแนวทางที่ทำให้นกแต่ละพันธุ์มีวิธีการสร้าง
รังในแบบของมันเอง
นอกจากนี้ นกยังเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง
หรือเรียนรู้โดยการเลียนแบบจากนกตัวอื่นๆ ได้ด้วย





-5-


เป็นความจริงที่ว่า
นกจะมีบริเวณเฉพาะที่เรียกว่า 'อาณาเขต'
ไว้ใช้ในฤดูผสมพันธุ์เป็นการเฉพาะ
มันจะป้องกันรังจากศัตรู
และคอยไล่นกตัวอื่นที่จะเข้ามาหาอาหารในเขตของมัน
นกตัวผู้จะหาวิธีการอวดตัวให้โดดเด่น
เพื่อดึงดูดนกตัวเมียให้เลือกมันในฤดูผสมพันธุ์
เมื่อเลือกคู่ได้แล้ว นกตัวผู้จะปีนขึ้นไปบนหลังของตัวเมีย
เพื่อปล่อยน้ำเชื้อที่มีสเปิร์ม ผ่านช่องเปิดของตัวเมีย
เข้าไปผสมกับไข่ในท้อง
จนเพาะเป็นตัวอ่อนของลูกนก





-6-


เป็นความจริงที่ว่า
นกบินได้ด้วยการกระพือปีก
เวลากระพือปีกลง ปีกนกจะกดลง และดันไปข้างหลัง
เพื่อผลักตัวนกให้บินสูงขึ้น และไปข้างหน้า
เวลากระพือปีกขึ้น ปีกทั้งสองจะโค้งเล็กน้อย
ขนปีกแยกจากกัน ทำให้อากาศผ่านได้
ซึ่งช่วยไม่ให้ตัวนกถูกดันลดระดับลงมา
หางนกช่วยโบกให้บินไปตามทิศทางที่ต้องการ
ในการบินนั้น นกต้องใช้กล้ามเนื้อที่แข็งแรงมาก
และการที่นกบินได้ง่าย ก็เพราะมีกระดูกกลวง น้ำหนักเบา
และมีหัวใจที่แข็งแรง










..................
..................




Once upon a time,
There was a little bird,
living happily in a tree.

When hungry, he was fed full.
When tired, he could rest and sleep.
Everyday, he enjoyed strolling flights with friends.

Every bird kept words of the wise old bird in minds,
"The number of your flapping how far you can go,
and how capable you are of bringing yourself home."

Some birds took too much pleasure
and had to make abrupt return.

At a point of time,
When The bird grew up,
he became lonely.

Some birds came on to him.
Oddly enough, loneliness still remained.

"Feeling isn't real."
said the wise old bird
"We just create it ourselves."

The bird believed those words
for no one was wiser than
the wise old bird.

Other birds started gossiping.

Some thought he lost his mind.
Some thought he tried to draw attention.
Some thought he became ill.

Yet, some disagreed with others
and tried to make conversation.

He tried to talk.
But suddenly, his voice was just gone.

Some acted like high court
and said, "How arrogant he is!"

Some even played higher court
and said
"He's guilty!"

But no punishment was ever made.

One day, the bird went flying solo. While passing a tower
he heard people from below talking
of a girl who let her long hair down to the ground
so her beloved could climb it up.

He flew past a village
and heard people from below talking
about a girl isolating herself in a room
weaving cloth for her beloved in repaying for his rescuing her
Even worse, they said she was a crane
tranformed herself into a women.

He flew over the sea, hearing boat people talking
about a little mermaid who traded her voice
for a pair of legs, to be with her beloved
just for a brief moment
only to turn at last into sea foam.

He flew
with the stories heard
echoing in his head.

He pondered hard
and decided
on suicide.

What was that?!

Since then, day became meaningless.


But


The bird grew curious.
How was a portion of The Moon vanishing

May the night without The Moon never come?

He thought about the stories heard.


But


The same old feelings from the other night returned.

But
Strangely enough,
happiness of a full moon night
failed to replace the sadness
arising in the night of moonless sky.

"We create it ourselves." The bird tried to think.

The storied heard were still echoing in his head.

Not a soul even noticed that one bird was gone.

There had to be somewhere out there,
where the full moon always shined.

Before long,
he rushed hopefully towards the place.

Why dose searching for something
must trade with some feelings?

There must be somewhere.
Or there be nowhere
the full moon always shines.

Unless
There be some feelings
perhaps mean everything.

Finally
he made his mind.

No more wise old bird's teaching.
No more stories in his head.



Not long after,
there came 'a story of a lonely bird who is falling for The Moon.'
But no one knew how the story would end.
Some said he died.
Some said he survived.
Some said he actually reached The Moon.
Others said he found a companion
heading the same direction.

Who would really know?

-----------------------------------------------------------------------------------------------
บันทึกถึงผู้อ่าน :

หนังสือเรื่องนี้จัดอยู่ในประเภทนิยายภาพสองภาษา เพื่อการเสพอย่างได้อรรถรส กรุณาอุดหนุนศิลปินผู้สร้างสรรค์ และพึงระลึกอยู่เสมอว่านักเขียนและนักวาดภาพประกอบไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากได้รับเพียงแค่คำชมจากผู้อ่าน

Labels:

อย่างมายุ่งกับความโสดของเฮีย!


อยากห้อยป้ายแขวนไว้หน้าห้อง และคล้องคอติดตัวไว้

"อย่างมายุ่งกับความโสดของเฮีย!"

ได้โปรดทราบ!!!

March 16, 2007

เฮียจ๊ะจ๋า : ภาครับโทรศัพท์


ช่วงปีที่ผ่านเรื่อยมาจนถึงปีนี้
เฮียมีดวงได้ติดต่อสื่อสารกับคนต่างชาติอยู่เนือง เนือง
ถ้าไม่นับลาว และพม่าที่เดินเกลื่อนเมือง
และไม่นับชนชาติตาน้ำข้าว
ที่สามารถสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษห่วย ห่วย ของเฮียได้แล้ว
จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปินส์ สิงคโปร์ และมาเลเซีย
มักเป็นชนชาติที่แวะเวียนเข้ามาให้เฮียงงเล่นเสมอ



ถ้าพอจะจำกันได้

ปีที่แล้ว
เฮียเวียนหัวกับ "อาหยวน"
และอีก "หลายชีวิต" ข้างบ้าน
พอสมควร



ต้นปีนี้

ไม่นับ "แฟรงค์โก้" และ "เอลดอล"
ที่สาบสูญไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ด้วยดวงที่ว่าของเฮีย
ก็มักมีเหตุให้มีคนอื่น
เข้ามาให้เฮียคุยจนเมื่อยมืออยู่เสมอ



บ้างก็เป็นภาษาญี่ปุ่นปนภาษาอังกฤษที่ยากจะตีความ

บ้างก็เป็นภาษาเกาหลีปนภาษาไทยที่ฟังดูพิลึกลั่น
บ้างก็เป็นภาษาฝรั่งเศษปนภาษาอังกฤษแบบแปลก แปลก
ฯลฯ


คุยกันต่อหน้ายังพอทำเนา (*โน้ตสำหรับพี่ส้ม ทำเนา = to be tolerable)

ยังพอกล้อมแกล้มถูไถไปได้
แต่เจอทางโทรศัทพ์นี่ไม่ไหว
เป็นอันสลบเหมือดทุกทีไป



และด้วยความที่เฮียมักจะคิดว่าคนอื่นรู้พอพอกับเฮีย
นั่นหมายถึง...
อะไรที่เฮียรู้ เฮียก็มักคิดว่าคนอื่นก็จะมีความรู้ด้วยแน่นอน
หรือ
อะไรที่เฮียไม่รู้ เฮียก็มักคิดว่าคนอื่นก็คงจะไม่รู้ด้วย
เฮียจึงอยากจะบอกกล่าวให้รู้เท่าเทียมกัน
และนั่น นำมาสู่ "เฮียจ๊ะจ๋า ภาค รับโทรศัพท์"



เอาเท่าที่เฮียรู้ตอนนี้
ไว้สำหรับสื่อสารกับคนจีนและราชอาณาจักร
ที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้
มีดังนี้


(ตุ้ย ปู้ ชี่) ฉิง เวิ้น หนี่ เย้า เจ่า เสย
(ขอโทษนะครับ/คะ) ไม่ทราบว่าต้องการเรียนสายกับใครครับ/คะ?


(ตุ้ย ปู้ ชี่) ฉิง เวิ้น หนี่ ซื่อ เสย
(ขอโทษนะครับ/คะ) ไม่ทราบว่าผม/ฉัน กำลังเรียนสายกับใครครับ/คะ?


หว่อ หุ้ย เจี้ยว .... ต่า หุย เก๋ หนี่
แล้วผม/ฉัน จะให้ .... โทรกลับหาคุณนะครับ/คะ


ห่อ ตุ้ย ทา ซัว หนี่ ต่า เตี้ยน ฮั่ว จ่าว ทา
แล้วผม/ฉัน จะบอกให้ว่าคุณโทรมาหานะครับ/คะ?


เกริ่นมาซะยาวยืด
เนื้อหาจริง จริงมีแค่นี้แหละ
เพราะลำพังแค่สี่ประโยคนี้ก็หากินได้แล้วนะ เฮียว่า
อ่อ ผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้แก้ให้เฮียด้วยนะ
พอดีว่าอาจารย์เจ้าประจำอยู่ปีนัง
เฮียไม่อยากเปลืองค่าโทรศัพท์



สวัสดี


ปล. ตอนนี้ที่ร้านมีมาอีกหนึ่งหน่อ ชื่อ "อาทิง" ภาษาอังกฤษมันห่วยมากถึงมากที่สุด จะคุยภาษาจีนกับมันเฮียก็คงเมื่อยมือตายไปก่อน - -"

February 12, 2007

A II Z



เฮียว่า
จะอัพบล็อกเรื่องรักๆ ให้เข้ากับเทศกาล 'yเล่นท้าย' เสียหน่อย
โดนตี๋ tag ซะงั้น
เอาก็เอา เล่นซะหน่อย
เล่นง่ายดี ไม่ต้องใช้สมอง เฮียชอบ


กติกาก็ง่ายๆ
ในเวลา 1 ชั่วโมง ให้เขียนศัพท์คำแรกที่นึกได้ทันที
ตั้งแต่ตัวอักษร A - Z ไม่ว่าศัพท์คำนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ห้ามโกง ห้ามคิดซ้ำเกินหนึ่งครั้ง
และถ้าจะให้สนุกยิ่งขึ้นก็วาดรูป
หรือแปะภาพที่ Search ได้จาก Google ตามชอบก็ได้
(เรื่องกติกา เฮียคัดลอกมาจากบล็อกของตี๋แบบหน้าด้านๆ เฮียขี้เกียจพิมพ์)


a - antique
b - boy
c - christian
d - delicious
e - elf
f - fly
g - gay
h - high
i - intelligent
j - joker
k - king
l - liar
m - male
n - nonsense
o - open
p - picasso
q - question
r - rest
s - sadism
t - testimony
u - unicorn
v - vow
w - why
x - xenon
y - yeah yeah yeah
z - zen

โน้ตบุ๊คตัวเองอยู่บ้าน
เลยไม่มีภาพงามๆ ที่คิดไว้ในหัวมาลงให้เห็น
ส่วนเรี่อง tag ต่อ
มันต้องอีกห้าคนใช่ม่ะ?
งั้นเฮียขอเลือก

- เพชรชั่ว เพื่อนเลิฟ (วาดรูปด้วยนะ เฮียอยากเห็น)
- เพ่โบ๊ท โทษฐานไม่ยอมอัพบล็อกให้อ่าน (เขียนมาซะดีๆ)
- เพ่ปอง ขอแบบรวดเร็วทันใจนะพี่ (โดน tag แล้ว อย่าลีลา)
- เจ๊วิโรจน์ ให้ว่องนะ ให้ว่อง ( ไม่อยากโดนก็ต้องโดน หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ ((พอแล่ว)) )
- เฮียโก้ tag รอบสอง (คราวที่แล้วtagไป ไม่เล่นด้วย คราวนี้เฮียก็ยังหน้าด้านtagต่อ มีอะไรม่ะ?)

เวลานอนมีน้อย
จบห้วนๆเลยละกัน
ไปนอนล่ะ

สวัสดี

February 05, 2007

The Right to Read by Richard Stallman


เฮียอารมณ์ดี
เจอบทความถูกใจเข้า
เลยเอามาแปลให้ได้อ่านกัน
แปลดีมั่ง ไม่ดีมั่งก็ว่ากันไป ~
เอาน่า เอาความอยากแบ่งปันเรื่องที่อ่านเป็นที่ตั้ง :)
.
.
.
.
- The Right to Read -

บทความตีพิมพ์ใน Communications of the ACM ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 1997 (Volume 40 , Mumber 2)

(จาก “The Road To Tycho” รวมบทความ ที่มาของการปฏิวัติลูนาเรียน , ตีพิมพ์ในนครลูนา ปี 2096)

หนทางสู่ไทโคของแดน ฮัลเบิร์ต เริ่มต้นขึ้นในมหาวิทยาลัย เมื่อลิสซ่า เลนส์ เอ่ยปากขอยืมคอมพิวเตอร์ไปใช้ คอมพิวเตอร์ของเธอเสีย และหากหายืมไม่ได้เธอจะต้องสอบตกโครงงานกลางภาค ลิสซ่าไม่กล้าเอ่ยปากยืมใครนอกจากแดน

แดนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาจำต้องช่วยเธอ แต่หากให้ลิสซ่ายืมคอมพิวเตอร์ไป เธออาจจะอ่านหนังสือของเขาก็ได้ การให้ผู้อื่นอ่านหนังสือของเรานอกจากอาจทำให้ติดคุกหลายปีแล้ว แม้แต่การคิดถึงเรื่องแบบนี้ยังทำให้เขาเกิดอาการอกสั่นขวัญหายได้อีกด้วย แดนได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่ประถมเหมือนเด็กคนอื่นๆว่า การแบ่งปันหนังสือเป็นการกระทำที่สกปรกน่าสะอิดสะเอียนและเป็นสิ่งที่ผิด มีแต่โจรเท่านั้นที่จะกระทำแบบนี้

นอกจากนี้แล้วก็ยังเป็นการยากที่ นพซ. หรือ หน่วยพิทักษ์ซอฟต์แวร์ จะพลาดในการจับกุมตัวเขา ในวิชาซอฟต์แวร์แดนเรียนรู้ว่าหนังสือแต่ละเล่มได้รับการเฝ้าระวังลิขสิทธิ์จากหน่วยอนุญาตปฏิบัติการส่วนกลาง ซึ่งจะคอยรายงานว่าหนังสือถูกอ่านเมื่อใด ที่ไหน และใครเป็นผู้อ่าน (ทางหน่วยงานจะใช้ข้อมูลนี้เพื่อจับกุมกรณีมีการลักลอบอ่าน และยังขายข้อมูลส่วนนี้ให้กับบริษัทห้างร้านต่างๆอีกด้วย) ในคราวหน้าเมื่อคอมพิวเตอร์ของเขาถูกเชื่อมเข้ากับระบบ หน่วยอนุญาตปฏิบัติการส่วนกลางจะต้องรู้ และเขาในฐานะที่เป็นเจ้าของคงจะได้รับโทษอย่างสูงสุด เนื่องด้วยเหตุที่ไม่พยายามป้องกันการเกิดอาชญากรรมนี้

จริงอยู่ว่าลิสซ่าอาจไม่ได้มีเจตนาจะอ่านหนังสือของเขา เธออาจเพียงต้องการใช้คอมพิวเตอร์ทำข้อสอบกลางภาคเท่านั้น แต่เขารู้ดีว่าลิสซ่ามาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่มีเงินพอสำหรับการเรียนพิเศษ และแทบไม่ต้องพูดถึงค่าธรรมเนียมการอ่านที่จะต้องเสีย การอ่านหนังสือของเขาจึงอาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้เธอจบเรียนจบได้ แดนเข้าใจสถานการณ์นี้ดี เพราะตัวเขาเองต้องกู้เงินมาจ่ายค่างานวิจัยทั้งหมดที่อ่าน (ร้อยละสิบของค่าธรรมเนียมการอ่านจะถูกจ่ายให้กับเจ้าของงานวิจัย แดนตั้งใจจะประกอบอาชีพทางวิชาการและเขาก็หวังว่าหากมีการอ้างอิงถึงงานวิจัยของเขามากๆ ก็จะช่วยให้เขามีเงินพอที่จะนำไปจ่ายคืนหนี้ที่กู้ยืมมาได้)

ภายหลัง แดนได้รู้ว่ามีช่วงเวลาสมัยหนึ่งที่ใครๆ ก็สามารถไปยังห้องสมุดและอ่านวารสาร รายงานวิจัย บทความ และหนังสือต่างๆได้โดยไม่ต้องเสียแม้สตางค์แดงเดียว นักศึกษาสามารถอ่านงานเป็นพันๆหน้าได้โดยไม่ต้องได้รับเงินอุดหนุนการอ่านจากรัฐบาลเลย แต่แล้วในช่วงทศวรรษ 1990 ผู้ตีพิมพ์รายงานการวิจัยทั้งแบบแสวงหาและไม่แสวงหากำไรต่างเริ่มเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการอ่าน และเมื่อถึงปี 2047 ห้องสมุดที่อนุญาตให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมก็กลายเป็นเพียงความทรงจำอันเลือนลาง

จริงอยู่ว่ายังมีหนทางที่จะรอดพ้นสายตาของ นพซ. และหน่วยอนุญาตปฏิบัติการส่วนกลาง แต่นั่นก็ล้วนแล้วแต่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น แดนมีเพื่อนที่ร่วมลงเรียนวิชาซอฟต์แวร์ด้วยกันคนหนึ่งชื่อ แฟรงค์ มาร์ตูซซี่ ซึ่งมีโปรแกรมชุดคำสั่งตรวจแก้จุดบกพร่องเถื่อนไว้ในครอบครอง แฟงค์เคยใช้โปรแกรมนี้ทำให้คอมพิวเตอร์ข้ามขั้นตอนการเฝ้าระวังลิขสิทธิ์เมื่อเขาอ่านหนังสือ แต่แฟงค์ปากโป้งบอกให้เพื่อนรู้มากเกินไป เพื่อรางวัลนำจับหนึ่งในนั้นจึงได้แจ้งให้ นพซ. ทราบเรื่อง (นักศึกษาผู้มีหนี้สินล้นพ้นย่อมถูกล่อใจให้ทรยศต่อพวกเดียวกันได้ง่ายๆ) ในปี 2047 แฟงค์จึงต้องติดคุก มิใช่ด้วยข้อหาลักลอบอ่าน แต่ด้วยข้อหามีโปรแกรมชุดคำสั่งตรวจแก้จุดบกพร่องไว้ในครอบครอง

ต่อมา แดนได้รู้ว่ายังมียุคสมัยหนี่งที่ใครๆ ก็สามารถมีโปรแกรมชุดคำสั่งตรวจแก้จุดบกพร่องได้ มีแม้กระทั่งซีดีโปรแกรมฟรี หรือจะดาวโหลดเอาทางเน็ตก็ยังได้ แต่แล้วผู้ใช้ทั่วไปต่างก็ใช้โปรแกรมเหล่านี้เพื่อข้ามขั้นตอนการเฝ้าระวังลิขสิทธิ์ ในที่สุด ตุลาการจึงได้ตัดสินว่าการใช้งานโดยมุ่งหมายเพื่อข้ามขั้นตอนการเฝ้าระวังลิขสิทธิ์ได้กลายเป็นจุดมุ่งหมายหลักของการใช้โปรแกรม ซึ่งนั้นหมายให้ตัวโปรแกรมกลายเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผู้พัฒนาโปรแกรมนี้จึงถูกส่งเข้าตะราง

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมเมอร์ยังคงจำเป็นต้องใช้โปรแกรมนี้ต่อไป ในปี 2047 ผู้จำหน่ายโปรแกรมนี้เริ่มจำหน่ายเฉพาะโปรแกรมที่ติดรหัสหมายเลขสินค้าให้กับโปรแกรมเมอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจากทางการและมีพันธกรรมเเท่านั้น โปรแกรมชุดคำสั่งตรวจแก้จุดบกพร่องที่แดนเคยใช้ในวิชาซอฟต์แวร์นั้นถูกสงวนไว้ภายใต้ไฟร์วอลล์พิเศษ และจะถูกนำมาใช้เฉพาะในการทำการบ้านวิชานั้นเท่านั้น

เป็นไปได้เหมือนกันที่จะหลีกเลี่ยงการเฝ้าระวังลิขสิทธิ์ ด้วยการติดตั้งเดอเนลของระบบซึ่งได้รับการดัดแปลงลงไปในเครื่อง แดนรู้ว่าเคยมีเคอร์เนลฟรี มีแม้กระทั่งระบบปฏิบัติการให้ใช้ฟรีในช่วงรอยต่อของศตวรรษ แต่ตอนนี้ของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และต่อให้มีไว้ในครอบครองก็ไม่อาจติดตั้งลงไปได้หากไม่รู้พาสเวิร์ดรูทของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการติดตั้ง และแน่นอนว่าทั้งเอฟบีไอและแผนกบริการของไมโครซอฟต์จะไม่มีทางบอกพาสเวิร์ดเหล่านั้นให้เราทราบเป็นอันขาด

แดนตกลงใจว่าเขาจะไม่ให้ลิสซ่ายืมคอมพิวเตอร์ไปใช้ แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเพราะว่าเขารักเธอ ทุกคราที่ได้พูดคุยกับเธอทำให้เขาสุขใจยิ่ง และตอนนี้เธอเลือกขอความช่วยเหลือจากเขา นั่นอาจหมายความว่า เธอเองก็รักเขาเช่นกัน

แดนตัดสินใจกระทำบางสิ่งอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาให้ลิสซ่ายืมคอมพิวเตอร์ไปใช้โดยบอกพาสเวิร์ดของเขาให้เธอทราบ ด้วยวิธีนี้ ถึงแม้ว่าลิสซ่าจะอ่านหนังสือของเขา แต่หน่วยอนุญาตปฏิบัติการส่วนกลางย่อมคิดว่าเป็นตัวเขาเองที่อ่านหนังสือเหล่านั้น นี่ยังคงเป็นอาชญากรรมแต่ นพซ.จะไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้ได้เลย นอกเสียจากลิสซ่าจะเป็นผู้รายงานความผิดเหล่านี้เสียเอง

หากทางมหาวิทยาลัยตรวจสอบพบว่าเขาบอกพาสเวิร์ดของตัวเองให้ลิสซ่ารู้ นั่นจะเป็นการปิดฉากชีวิตนักศึกษาของพวกเขาทั้งสองลง ไม่ว่าลิสซ่าจะนำพาสเวิร์ดนั้นไปใช้เพื่อการใดก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยมีนโยบายว่าการแทรงแซงควบคุมการใช้คอมพิวเตอร์ของนักศึกษาไม่ว่าด้วยทางใดย่อมเป็นเหตุให้ถูกดำเนินการทางวินัยได้โดยไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นได้ก่อให้เกิดเหตุร้ายแรงแล้วหรือไม่ เพราะการกระทำผิดนี้ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเราได้ยากขึ้นทำให้สามารถอ้างได้ว่าเราได้กระทำสิ่งต้องห้ามโดยเจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องทราบว่าสิ่งนั้นคืออะไร

โดยปกตินักศึกษามักจะไม่ถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้ กล่าวคือพวกเขาจะไม่ถูกไล่ออกตรงๆ แต่พวกเขาก็จะถูกปฏิเสธจากระบบคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นจะทำให้สอบตกหมดทุกวิชาในที่สุด
ต่อมา แดนได้รู้ว่านโยบายที่ว่านี้เพิ่งถูกบรรญัติขึ้นในทศวรรษที่ 1980 เมื่อครั้งที่นักศึกษาจำนวนมากเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ ก่อนหน้านั้นทางมหาวิทยาลัยมีนโยบายที่ต่างออกไป นั่นคือ จะลงโทษก็ต่อเมื่อมีการกระทำผิดร้ายแรงเกิดขึ้นเท่านั้น หาได้รวมลงโทษการกระทำที่ต้องสงสัยไม่

ลิสซ่าไม่ได้รายงานเรื่องของแดนให้ นพซ. รู้ การตัดสินใจของเขาในครั้งนั้นนำไปสู่การตกลงใจแต่งงานกันในที่สุด และยังก่อให้เกิดคำถามต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ลิขสิทธิ์ สหภาพโซเวียตและข้อจำกัดทางลิขสิทธิ์ รวมทั้งต้นฉบับรัฐธรรมนูญของสหรัฐ ต่อมาพวกเขาได้ย้ายถิ่นฐานไปยังนครลูนา และได้รู้จักกับคนอื่นๆที่ต้องการหลีกหนีให้พ้นจากเงื้อมือของ นพซ. และเมื่อขบวนการไทโคได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2062 สิทธิ์สากลในการอ่านก็กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของขบวนการนี้.


Copyright 1996 Richard Stallman Verbatim copying and distribution of this entire article is permitted in any medium without royalty provided this notice is preserved.

อ่านภาคภาษาอังกฤษได้ที่นี่
Author's Note
References
Other Texts to Read


สวัสดี

Labels:

January 30, 2007

เฮียร้อยเรื่อง : เห็ดสด


เนื่องจากคราวที่แล้วมีคนถามเฮียว่า “เห็ดสด” แปลว่าอะไร
เฮียเป็นคนขี้อาย ไม่รู้จะอธิบายศัพท์ระดับชาติเช่นนี้ได้เยี่ยงไร
แต่ในเมื่อมีคนสงสัย เฮียจะเล่านิทานให้ฟัง....
.
.
.
.
.
.
.

ในยุคที่ผู้คนยังคงเชื่อถือตำรายาผีบอก ใครใครก็รู้ว่า ‘ยี่สุ่น’ เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ทุกคำที่ออกมาจากปากล้วนแล้วแต่ตะลบตะแลงหาความจริงไม่มี ความดีข้อเดียวที่ยี่สุ่นมีก็คือ ความสวย และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หนุ่มหลายคนหน้ามืดตามัวมาติดพันเธอ

ยี่สุ่นใช้คำตะลบตะแลงและมารยาหลายร้อยเล่มเกวียนในการคบหากับชายหนุ่มหลายคนพร้อมกัน ไม่นานนักเมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นรู้ความจริงก็พากันตีตัวออกห่างและป่าวประกาศถึงความปลิ้นปล้อนตอแหลของยี่สุ่น ปากต่อปากของชาวบ้านทำให้เรื่องของยี่สุ่นกระจายไปทั่วเมือง ไม่มีใครอยากคบหากับยี่สุ่นอีกต่อไป

ยี่สุ่นกลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไรจึงไปบนบานศาลกล่าวขอคู่ครองต่อจอมปลวกศักดิ์สิทธิ์ท้ายหมู่บ้าน โดยให้คำสาบานว่าจะไม่ปลิ้นปล้อนตอหลดตอแหลกับใครอีก และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ยี่สุ่นได้สาบานต่อไปอีกว่า หากตนผิดคำสาบานก็ขอให้ลงโทษตนให้ผู้คนสาปแช่งตลอดไป

ด้วยความเห็นใจ จอมปลวกศักดิ์สิทธิ์จึงเนรมิตชายหนุ่มรูปงามนาม ไกร มาให้ยี่สุ่น ทั้งคู่ต่างอยู่ในศีลในธรรมครองคู่กันอย่างมีความสุขโดยยังชีพด้วยการรักษาชาวบ้านที่เจ็บไข้

ไกรมีตำรายาวิเศษที่เทพารักษ์ประจำจอมปลวกให้มา ทำให้เขาสามารถรักษาโรคได้ทุกโรคอย่างมีประสิทธิผล ในที่สุดเขาก็ถูกเรียกตัวไปเป็น หมอหลวง และได้รับพระราชทานยศเป็น หลวงโอสถพิสดารบันดาลสุข

ภายหลังจากหลวงโอสถพิสดารบันดาลสุขสิ้นลมลง ยี่สุ่นจึงได้รับมอบหมายตำแหน่ง หมอหลวง กลายเป็น ท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรค โดยที่ยี่สุ่นเองหารู้ไม่ว่า ตำรายาวิเศษนั้นได้สลายไปพร้อมกับลมหายใจของหลวงโอสถเสียแล้ว

ยี่สุ่น หรือ ท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรค ไม่รู้จะทำเยี่ยงไรจึงได้แต่จ่ายยามั่วตั้วและพูดจากลับกลอกเอาตัวรอดไปวันวัน เมื่อรักษาโรคไม่หายดังก่อน ชื่อเสียงที่สะสมมาจึงเริ่มเน่าเหม็นอีกครั้ง ท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรคจำต้องซมซานบากหน้าไปพึ่งพาเทพารักษ์จอมปลวก สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าเก่า

ด้วยความโมโหโกรธาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรคไม่ทำตามคำสาบานที่เคยให้ไว้จึงไม่ยอมช่วยเหลือใดใดทั้งสิ้น ท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรคได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าจอมปลวกเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ความชื้นจากน้ำตาที่หยดลงพื้นก่อให้เกิดดอกเห็ดสีสันมากมายผุดขึ้นตรงหน้า ท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรคยิ้มรื่น คิดว่า ดอกเห็ดแน่แล้วที่เทพารักษ์ประทานมาให้ตน จึงหอบเอาเห็ดสีสวยกองโตเหล่านั้นกลับไปรักษาคนป่วยไข้อีกครั้ง

เห็ดดอกแล้วดอกเล่าถูกแจกจ่ายออกไป แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดหายจากโรค มีแต่ตายวันตายพรุ่งเพิ่มขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด ไม่นานนักยี่สุ่นก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรค กลายเป็นยี่สุ่นคนเดิมที่ชาวบ้านเกลียดชัง

อย่างไรก็ตามเมื่อยี่สุ่นสิ้นลมลงด้วยโรคตรอมใจในเวลาต่อมา เห็ดของท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรค ก็ยังคงถูกชาวบ้านกล่าวขานสาปแช่งไม่มีที่สิ้นสุด เฉกเช่นเดียวกับยี่สุ่นที่ได้รับการสาปแช่งตลอดไปสมดั่งคำที่เคยสาบาน

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อผู้คนนึกถึงคำปลิ้นปล้อน ตะตบตะแลง โกหก ตอหลด ตอแหล น่ารังเกียจ และไม่น่าคบหา ชื่อของยี่สุ่น และเห็ดท้าวโอสถรักษ์พิทักษ์โรค จึงเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึงและเอ่ยขานตลอดไป.





January 26, 2007

ทิศทางปี ๒๕๕๐



ผ่านปีใหม่มาจนจะครบเดือน แต่ฉันก็ยังไม่ได้วางแผนสำหรับปีนี้อย่างเอาจริงเอาจังเลย ว่าแล้วก็เอาซะหน่อย สิ้นปีจะได้มี ‘เช็คลิสต์’ กะเค้าว่าทำอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง เพื่อว่าจะได้มีกำลังใจพิทักษ์โลกในปีถัด ถัดไป



-๑-
ทำในสิ่งที่รัก รักในสิ่งที่ทำ
ตั้งแต่จบมาไม่ถึงปี ฉันก็เปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น ไม่รู้เพราะโง่หรือฉลาดเกินไปถึงได้เลือกงานซะเหลือเกิน เริ่มตั้งแต่ฝึกงานซึ่งอาจเรียกได้เต็มปากว่า “ทำงาน” กับสองบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านซิทคอมของประเทศไทย ตอนเรียนมหา’ลัยก็อยากหนักอยากหนา อยากเป็นคนเขียนบทซิทคอม เอาเข้าจริงแม้ใจจะยังรักงานที่ทำแต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่พิลึกลั่นก็ทำให้ฉันแตกพ่ายไม่เป็นกระบวนท่า อพยบหลบหนีไปซบอกบริษัทเคเบิ้ลยักษ์ใหญ่ (ใหญ่อีกแล้ว) ซึ่งมีวัฒนธรรมและสังคมอบอุ่น เป็นกันเอง แต่ความต้องการของมนุษย์หามีจำกัดไม่ หลังจากตระหนักได้ว่ามีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่อื่นเสนอเงินเดือนให้ฉันมากกว่าครึ่งต่อครึ่งของที่นี่ แถมโปรโมชั่นพิเศษ ที่พักสุดหรู รถรับส่งส่วนตัว เบิกค่าน้ำมัน ค่าทางด่วนได้ พร้อมอื่น อื่นอีกมากมาย ความโลภก็เข้าครอบงำ ฉันตัดสินใจย้ายไปทำงานด้านสื่อและธุรกิจต่างประเทศแถวฉะเชิงเทรา และที่นั่นก็ทำให้ฉันถ่องแท้ในคำกล่าวที่ว่า “เงินไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าใจไม่รักในงานที่ทำ” ฉันจึงตัดสินใจอีกหน แถนั่นแถนี่กับเจ้านายขอลาออก หลังจากนั้นก็ใช้เวลาขบคิดอยู่กับตัวเองถึงสองเดือนเต็ม ค้นหาจนพบว่าตนเองอยากลองของกับอาชีพ “เวดดิ้ง เพลนเนอร์” – เดือนที่จะถึงนี้ กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก นับเป็นฤกษ์ดีที่ฉันจะได้เริ่มงานกับ ‘ชาร์แดงเดอลามูร์’ สตูดิโอแต่งงานสไตล์ฝรั่งเศส แน่นอนว่าคงจะต้องรอดูต่อไปว่าสิ้นปีนี้ฉันจะยังคงทำงานอยู่ที่เก่า และรู้สึก ‘ใช่’ ในงานที่ทำหรือยัง



-๒-
บ้านเจ้าคุณพ่อ
ความตั้งใจที่จะต้องทำให้ได้ในปีนี้คือ กลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าคุณพ่อที่ชุมพรซักครั้ง ไหน ไหนก็หายเคืองกันแล้ว ขืนไม่ไปมีหวังมรดกร้อยล้าน ที่ดินอีกพันไร่ ได้กลายเป็นที่สาธารณะประโยชน์แน่ เอ้ย! ไม่ใช่ ขืนไม่ไปมีหวังได้ตัดขาดกันอีกรอบแน่ ดังนั้นจึงต้องไป ต้องไป



-๓-
ยอมอดเพื่ออ่าน
ไม่ว่าจะยากจนข้นแค้นเท่าไหร่ จะตกงาน หรือจะได้งานเงินเดือนน้อยนิด หรืออย่างไรก็ตามแต่ เป็นตายร้ายดียังไงก็จะตะบี้ตะบันซื้อหนังสือมาอ่านต่อไป เอาน่า อย่างน้อย น้อยที่สุด เดือนละหนึ่งเล่มก็ยังดี



-๔-
โซฟา : เพราะว่าเราห่างไกลกันเหลือเกิน
ตั้งแต่ซื้อบ้านใหม่ที่สัตหีบมาได้จะครบปีก็ยังไม่มีวี่แววว่าห้องนอนของฉันจะตบแต่งเสร็จซะที และคาดว่ามันจะค้างเติ่งแบบนี้ไปเรื่อย เรื่อย เริ่มตั้งแต่สีห้องที่ยังไม่ถูกใจซักเท่าไรนัก ทำให้อยากเปลี่ยนใหม่เป็นกำลัง ผ้าม่านที่ยังหาที่ถูกใจไม่ได้ ไฟผนังที่อยากได้เพิ่ม ชั้นวางทีวี ชั้นวางหนังสือ ล้วนแล้วแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาจัดเรียงไว้ในห้อง รวมถึงโซฟานั่งเล่น ที่ยังไง้ ยังไง ห้องนอนของฉันก็จะต้องมีให้ได้ เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง เอาล่ะ ตั้งเป้า ล็อคจุดหมาย อย่างอื่นไม่ค่อยสนเท่าไหร่ แต่เรื่องโซฟานี่สู้ขาดใจ ตามหาที่ถูกใจต่อไปนะไอ้มดแดง!



-๕-
โสด แอนด์ เดอะ ซิตี้
ไม่ว่าใครจะค่อนแคะว่าหาคนรักไม่ได้หรือว่าฉันขวางโลก ฉันก็จะยังคงนโยบายเดิม คือ ครองความโสดต่อไป สุขนิยมแบบอิสระเท่านั้นที่ฉันต้องการ สมัยอยู่ประถมเจ้าคุณพ่อเคยพูดให้ฟังว่า ‘ถ้าไม่แต่งงาน อายุสี่สิบจะเริ่มสบายและรวย” ไม่รู้ว่าท่านแฝงความนัยอะไรบางอย่างไว้หรือเปล่า แต่ฉันก็ยึดถือและเชื่อมาตลอดว่าถ้าฉันทำตามนี้ อย่างน้อยฉันก็จะสบายใจและร่ำรวยความสุข ต่อให้สกุล ‘ณ ธรรม’ จะสิ้นสุดลงที่ฉันก็ช่างปะไร ใครจะสน


-๖-
ร่างกายฟิต พิชิตโรคภัย
ข้อนี้ดูเหมือนจะทำได้ยากที่สุด แต่ฉันก็จะพยายาม โปรแกรมที่ตั้งไว้ให้ตัวเองสำหรับปีนี้คือ
- นอนไม่เกินตีหนึ่ง
- ตื่นไม่เกินเที่ยงวัน
- กินข้าวอย่างน้อยวันละสองมื้อน
- ซิทอัพอย่างต่ำวันละห้าสิบครั้ง
- ออกกำลังกายที่สวนสาธารณะอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง
เริ่มแก่แล้วก็ต้องรักษาสุขภาพให้มากขึ้น จะมาเรื่อย เรื่อย เปื่อย เปื่อย อย่างเมื่อก่อนคงไม่ได้ ใครสนใจไปสวนสาธารณะด้วยกันลงชื่อทิ้งไว้ หรือโทร หนึ่ง เก้า ศูนย์ ศูนย์ - หนึ่ง เก้า ศูนย์ ศูนย์ เรียก คิวว์ เพื่อตกลงวันเวลา ฉันแน่ใจว่าไปหลายคนย่อมจูงใจมากกว่าไปคนเดียวแน่นอน


-๗-
ใบขับขี่ ขอมีหน่อยเหอะ
แม้ว่าจะไม่มีแผนที่จะซื้อรถในปีสองปีนี้ แต่ทำใบขับขี่ไว้หน่อยคงไม่เสียหายอะไร เผื่อฉุกเฉินมาอาจต้องใช้ มีเกินไว้ยังไงก็ดีกว่าขาด


-๘-
ตีรันฟันคุด
ผลัดผ่อนไม่ยอมผ่าฟันคุดมานานเกินสองปี ด้วยเหตุผล ‘กลัวเจ็บ’ ตอนนี้ฟันเริ่มออกอาการผุ ขืนปล่อยข้ามไปอีกปี รู้ตัวอีกทีคงผุหมดปาก


-๙-
คืนกำไรสู่สังคม
ไม่นับรวมการให้เงินวณิพกบ้างตามสมควร ปีนี้จะพยายามช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มากที่สุด อาจจะเป็นการไปช่วยเหลือคนตาบอดบ้าง เด็กถูกทอดทิ้งบ้าง อะไรก็ว่ากันไป ที่สำคัญจะปฏิบัติตามสโลแกนเดิมต่อไป ‘จงทำความดี อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง’ ฟังดูเป็นคนดีเน้อ



เก้าข้อก็คงจะพอมั้งนะสำหรับทิศทางในปีนี้ ส่วนเป้าหมายอื่น อื่น ก็ถือซะว่าเป็นกำไรระหว่างปีละกัน ป่าวประกาศ มีพยานขนาดนี้ ถ้าทำไม่ได้จะอายเค้ามั้ยเนี่ยกู



จบเลยละกัน
สวัสดี